Skip to content Skip to footer

ท้องผูกในผู้สูงอายุ ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม วิธีดูแลและป้องกัน

ท้องผูกในผู้สูงอายุ ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม วิธีดูแลและป้องกัน

ท้องผูกในผู้สูงอายุ เป็นภาวะสุขภาพที่พบได้บ่อย และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่ออาการเรื้อรังจนเกิดภาวะแทรกซ้อน ผู้ดูแลและครอบครัวจึงควรเข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางการดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถขับถ่ายได้อย่างเป็นปกติและมีสุขภาพที่ดีขึ้น

ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุคืออะไร?

ภาวะท้องผูก (Constipation) หมายถึง การขับถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติ เช่น ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อุจจาระแข็งเป็นก้อน หรือรู้สึกถ่ายไม่สุด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึงลำไส้และกล้ามเนื้อช่องท้องทำงานช้าลง จึงทำให้การขับถ่ายไม่สะดวก และมีโอกาสเกิดอาการท้องผูกได้มากกว่าวัยอื่น ๆ

สาเหตุของอาการท้องผูกในผู้สูงอายุ

อาการท้องผูกในผู้สูงอายุสามารถเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโรคประจำตัว เช่น

1. รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย

อาหารจำพวกข้าวขาว เนื้อสัตว์ หรืออาหารแปรรูป ทำให้ร่างกายได้รับใยน้อย ส่งผลให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง

2. ดื่มน้ำน้อย

เมื่อร่างกายขาดน้ำ ลำไส้จะดูดซึมน้ำกลับจากอุจจาระมากขึ้น ทำให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายยาก

3. การเคลื่อนไหวร่างกายลดลง

ผู้สูงอายุที่นั่งหรือนอนมาก ลำไส้จะเคลื่อนไหวลดลง ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย

4. ผลข้างเคียงจากยา

ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดความดันโลหิต หรือยากันชัก อาจทำให้การขับถ่ายผิดปกติ

5. ปัญหาสุขภาพจิตและโรคประจำตัว

ความเครียด ภาวะซึมเศร้า หรือโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคพาร์กินสัน ก็มีส่วนกระทบต่อการทำงานของลำไส้เช่นกัน

ท้องผูกในผู้สูงอายุ อันตรายไหม?

แม้อาการท้องผูกอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้นานอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น

  • ริดสีดวงทวาร จากการเบ่งแรงเป็นประจำ

  • ทวารหนักฉีกขาด ทำให้เจ็บและมีเลือดออกขณะถ่าย

  • ลำไส้อุดตัน เมื่ออุจจาระสะสมมากและแข็งตัว

  • อาการท้องอืด แน่นท้อง และเบื่ออาหาร ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม

ดังนั้น หากผู้สูงอายุมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

สัญญาณเตือนของภาวะท้องผูกเรื้อรังในผู้สูงอายุ

  • ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์

  • ถ่ายยาก ต้องเบ่งแรงหรือใช้เวลานาน

  • อุจจาระแข็ง หรือมีเลือดปน

  • รู้สึกแน่นท้องหรือปวดท้องบ่อย

  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

หากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันหลายสัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพลำไส้

CNH, CNH Nursing Home, Nursing Home, กระตุ้นสมอง, การดูแลผู้สูงอายุ, การดูแลผู้สูงอายุแบบครอบครัว, การดูแลผู้สูงอายุแบบอบอุ่น, การออกกำลังกาย, กิจกรรมเพื่อสุขภาพ, คุณภาพชีวิต, ซีเอ็นเอช, ซีเอ็นเอช เนอร์สซิ่งโฮม, ดูแลผู้สูงอายุ, ดูแลผู้สูงอายุด้วยใจ, ดูแลผู้สูงอายุเหมือนอยู่บ้าน, ทีมงานดูแลผู้สูงอายุใกล้ชิด, บริการดูแลผู้สูงอายุเป็นกันเอง, บริการผู้สูงอายุราคาถูก, บ้านพักคนชรา, ผู้สูงวัย, พัฒนาสมอง, วัยเกษียณ, วิธีป้องกันความจำเสื่อม, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ซีเอ็นเอช เนอร์สซิ่งโฮม, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุอบอุ่น, ศูนย์ผู้สูงอายุราคาย่อมเยา, สาขาบางพลับ ราชพฤกษ์-ชัยพฤกษ์, สาขาพรีเมี่ยมบางพูน, สาขารัชดาภิเษก 32, สาขาหมู่บ้านชลลดา บางบัวทอง, สาขาหมู่บ้านซื่อตรง ซ.20 รังสิต คลอง3, สาขาหมู่บ้านซื่อตรง ซ.5 รังสิต คลอง3, สาขาเลียบทางด่วน รามอินทรา, สุขภาพจิต, สุขภาพดี, สุขภาพผู้สูงวัย, เนอร์สซิ่งโฮม, เนอร์สซิ่งโฮมที่ใส่ใจ, ท้องผูกในผู้สูงอายุ, ภาวะท้องผูก, วิธีแก้ท้องผูกผู้สูงอายุ, ป้องกันท้องผูก, อาหารแก้ท้องผูก, ผู้สูงอายุขับถ่ายลำบาก, ระบบขับถ่ายผู้สูงอายุ, ยาระบายผู้สูงอายุ, สาเหตุท้องผูกในผู้สูงอายุ, การดูแลผู้สูงอายุที่ท้องผูก

วิธีดูแลและป้องกันอาการท้องผูกในผู้สูงอายุ

การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการท้องผูกได้อย่างมาก โดยมีแนวทางดังนี้

1. รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง

เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่วในทุกมื้อ เพื่อช่วยกระตุ้นการขับถ่าย

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ควรดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้ว เพื่อให้อุจจาระนุ่มและขับออกได้ง่าย

3. เคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ

เช่น การเดิน ยืดเหยียด หรือทำกายบริหารเบา ๆ ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น

4. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา

ควรฝึกนั่งห้องน้ำช่วงเช้าเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและเกิดนิสัยขับถ่ายตามเวลา

5. หลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ

การกลั้นบ่อย ๆ จะทำให้ลำไส้ชินและลดสัญญาณขับถ่ายตามธรรมชาติ

6. นวดหน้าท้องเบา ๆ

ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่เคลื่อนไหวน้อย

แนวทางการรักษาเมื่อผู้สูงอายุท้องผูกเรื้อรัง

หากปรับพฤติกรรมแล้วยังมีอาการท้องผูก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแนวทางการรักษาเพิ่มเติม เช่น

  • ใช้ยาระบาย ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

  • สวนอุจจาระ ในกรณีที่มีการอุดตันรุนแรง

  • ตรวจหาสาเหตุทางการแพทย์ เช่น โรคลำไส้แปรปรวน มะเร็งลำไส้ หรือโรคทางประสาท

การรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัยจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

สรุป

ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ เป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ การดูแลอย่างเหมาะสมทั้งด้านอาหาร การดื่มน้ำ การออกกำลังกาย และการขับถ่ายให้เป็นเวลา จะช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีชีวิตประจำวันที่สบายและสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น