Skip to content Skip to footer

การให้อาหารทางสายยาง: เทคนิคป้องกันสำลักและติดเชื้อ

การให้อาหารทางสายยาง: เทคนิคป้องกันสำลักและติดเชื้อที่ผู้ดูแลต้องรู้

การดูแลผู้ป่วยที่ต้องได้รับอาหารผ่านสายยาง (Tube Feeding) เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยทั้งความรู้และเทคนิคที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่การป้อนอาหาร แต่เป็นการช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนลำบาก, ผู้สูงอายุ, หรือผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การสำลัก หรือการติดเชื้อ

บทความนี้จะสรุปเทคนิคการดูแลที่จำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้ดูแลสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และสร้างความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยที่คุณรัก

ทำไมผู้ป่วยจึงต้องได้รับอาหารทางสายยาง?

การให้อาหารทางสายยางมีความสำคัญในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้เพียงพอ หรือไม่สามารถกลืนได้อย่างปลอดภัย โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่:

1. ปัญหาด้านการกลืน (Dysphagia)

พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke), โรคทางสมองและระบบประสาท (เช่น พาร์กินสัน, อัลไซเมอร์) หรือผู้ป่วยหลังการผ่าตัดในช่องปากและลำคอ

2. ไม่รู้สึกตัวหรือไม่สามารถให้ความร่วมมือ

เช่น ผู้ป่วยโคม่า, ผู้ป่วยที่ต้องพักฟื้นในห้องไอซียู หรือผู้ป่วยที่มีภาวะสับสนรุนแรง

3. มีภาวะขาดสารอาหารรุนแรง

ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้นานเกิน 3-7 วัน หรือผู้ป่วยที่มีความต้องการสารอาหารสูงเป็นพิเศษ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ป่วยหลังผ่าตัดใหญ่

3 ขั้นตอนสำคัญในการให้อาหารทางสายยางอย่างปลอดภัย

การเตรียมตัวที่ดีและการทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก

ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมตัวและการจัดท่าที่ถูกต้อง

  • ล้างมือให้สะอาด: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งก่อนสัมผัสอุปกรณ์และตัวผู้ป่วย
  • จัดท่านั่งหรือกึ่งนั่ง: ยกศีรษะและลำตัวผู้ป่วยให้สูงอย่างน้อย 30-45 องศา และคงท่านี้ไว้ตลอดเวลาที่ให้อาหาร เพื่อป้องกันอาหารไหลย้อนกลับเข้าสู่ปอด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสำลัก
  • ตรวจสอบสายยาง: ตรวจสอบตำแหน่งของสายยางที่จมูกว่าอยู่ในตำแหน่งเดิมหรือไม่ หากมีรอยทำเครื่องหมายให้ดูว่ายังตรงกันอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจหรือสายเลื่อน ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์

ขั้นตอนที่ 2: การให้อาหารที่ถูกต้อง

  • ตรวจสอบอาหารค้างในกระเพาะ: ก่อนให้อาหารทุกครั้ง ควรตรวจสอบว่ามีอาหารเก่าค้างอยู่หรือไม่ โดยใช้กระบอกฉีดยาดูดของเหลวออกมา หากมีปริมาณมากเกิน 50 มล. ควรเลื่อนมื้ออาหารออกไปก่อน
  • ห้อาหารช้า ๆ และสม่ำเสมอ: ค่อย ๆ เทอาหารลงในกระบอกหรือถุงให้อาหาร ปล่อยให้ไหลลงสู่กระเพาะอย่างช้า ๆ การให้อาหารเร็วเกินไปอาจทำให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ ท้องอืด หรือท้องเสีย
  • ล้างสายยางหลังให้อาหาร: เมื่ออาหารหมด ให้ใช้น้ำสะอาดตามลงไปประมาณ 30-50 มล. เพื่อล้างสายยางให้สะอาด ป้องกันการอุดตันจากเศษอาหาร

ขั้นตอนที่ 3: การดูแลหลังให้อาหาร

  • คงท่าศีรษะสูง: ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าศีรษะสูงหรือกึ่งนั่งต่อไปอีกอย่างน้อย 30-60 นาที เพื่อให้อาหารย่อยและไหลลงสู่ลำไส้ ลดความเสี่ยงในการไหลย้อนกลับ
  • ทำความสะอาดสายยางและจุกปิด: เช็ดทำความสะอาดปลายสายยางและจุกปิดด้วยสำลีชุบน้ำสะอาดหรือแอลกอฮอล์ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
การดูแลผู้ป่วยให้อาหารทางสายยาง, ขั้นตอนการให้อาหารทางสายยาง, ดูแลผู้ป่วยติดเตียง, ดูแลผู้สูงอายุ ป้องกันอุบัติเหตุ, ดูแลผู้สูงอายุด้วยใจ, ดูแลผู้สูงอายุเหมือนอยู่บ้าน, ดูแลผู้สูงอายุแบบครอบครัว, ดูแลผู้สูงอายุใกล้บ้าน, ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ, ที่พักผู้สูงอายุ, ทีมงานดูแลผู้สูงอายุใกล้ชิด, บริการดูแลผู้ป่วยติดเตียง, บริการดูแลผู้สูงอายุเป็นกันเอง, บ้านปลอดภัย ผู้สูงอายุ, บ้านพักคนชรา, ป้องกันภาวะสำลัก, ป้องกันอุบัติเหตุผู้สูงอายุ, ผู้ป่วยติดเตียง, ผู้สูงอายุ, ผู้สูงอายุยิ้มได้ทุกวัน, ผู้สูงอายุหกล้ม, ผู้สูงอายุแข็งแรง, ผู้สูงอายุให้อาหารทางสายยาง, พูดช้า ชัด สุภาพ, ฟื้นฟูผู้ป่วยติดเตียง, ภาวะแทรกซ้อนให้อาหารทางสายยาง, ภาษากายกับผู้สูงอายุ, ย้ำคิด, ย้ำทำ, ลดภาวะแทรกซ้อน, วัยเกษียณ, วิธีดูแลแผลกดทับ, วิธีทำให้ผู้สูงอายุสบายใจ, วิธีป้องกันความจำเสื่อม, วิธีพูดกับผู้สูงอายุ, วิธีให้อาหารทางสายยาง, ศูนย์การแพทย์สำหรับผู้สูงวัย, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, สถานดูแลผู้สูงอายุ 24 ชั่วโมง, สายยางให้อาหาร, สาเหตุความจำเสื่อม, สุขภาพจิต, สุขภาพดีในวัยเกษียณ, สุขภาพผู้สูงอายุ, สุขภาพผู้สูงอายุ 2025, เทคนิคให้อาหารผู้ป่วยติดเตียง, ให้อาหารทางสายยางที่บ้าน

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและวิธีป้องกัน

1. การสำลัก (Aspiration)

เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุด อาการที่ควรเฝ้าระวังคือผู้ป่วยมีอาการไอ, หายใจหอบเหนื่อย, หรือตัวเขียว หากเกิดเหตุการณ์นี้ ให้รีบหยุดให้อาหารทันที จัดท่าผู้ป่วยนอนตะแคง และรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

2. การติดเชื้อ

การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณที่สายยางสัมผัสกับผิวหนัง (เช่น จมูก) หรือการปนเปื้อนของเชื้อโรคในอาหาร การรักษาความสะอาดของอุปกรณ์และมือของผู้ดูแลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

3. ท้องอืด, ท้องเสีย, หรือท้องผูก

ปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากชนิดของอาหาร ปริมาณ หรือความเร็วในการให้ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อปรับแผนการให้อาหารให้เหมาะสม

4. สายยางอุดตัน

การล้างสายยางด้วยน้ำสะอาดหลังให้อาหารทุกครั้งจะช่วยป้องกันปัญหานี้ หากสายอุดตัน ห้ามใช้ของแข็งดันหรือออกแรงมากเกินไป ควรปรึกษาพยาบาลหรือแพทย์เพื่อหาวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง

บทสรุป

การดูแลผู้ป่วยที่ให้อาหารทางสายยางไม่ใช่เรื่องยาก หากผู้ดูแลมีความเข้าใจในขั้นตอนที่ถูกต้องและใส่ใจในรายละเอียด การป้องกันการสำลักและติดเชื้อเริ่มต้นจากการเตรียมตัวที่ดี การจัดท่าที่ถูกต้อง และการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

การดูแลผู้ป่วยไม่ใช่เพียงหน้าที่ แต่คือการมอบความรักและความใส่ใจอย่างปลอดภัย และสิ่งนี้เองที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกวัน

หากคุณกำลังมองหาศูนย์ดูแลผู้ป่วยที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลในทุกขั้นตอน สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับผู้ป่วยของคุณได้